อักษรวิ่ง

ยินดีต้อนรับสู่ เว็บบล็อกของ รองฯมยุรี คงด้วง รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนงานและความร่วมมือ Mrs.Mayuree Kongduang : Deputy Director of Department of Planning and Cooperation

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น

พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น “สูตรแห่งชีวิตประจำวัน” ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...

ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา ใครจะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ไม่บังคับยัดเยียดกัน ไม่ต่อว่าต่อขานกัน แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไร ให้กับชีวิตของตนเอง ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง

สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
    ๑.ดื่มน้ำให้มาก    
   ๒.กินอาหารเช้าเหมือนราชา รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า และกลาง ๆ ตอนเที่ยง และตกเย็นแล้ว ทำตัวเป็นยาจก ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
   ๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
  ๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ  3E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน  enthusiasm หรือกระตือรือร้น  และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
   ๕.หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
   ๖.เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง อย่าเครียดกันนักเลย
    ๗.อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
    ๘.นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
    ๙.นอนวันละ 7 ชั่วโมง
   ๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที  แล้วแต่จะสะดวก  ไม่ต้องเครียดกับมัน  วันไหนไม่ได้เดิน  ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
   ๑๑.ระหว่างเดิน  อย่าลืมยิ้ม

   นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ หากทำเป็นกิจวัตร ชีวิตก็จะแจ่มใส แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิด ถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้ พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผลัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

  สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรจะไปคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ
      ๑.  อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
      ๒.   อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
      ๓.  อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
      ๔.  อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
     ๕.  อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
      ๖.  จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
      ๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
     ๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
      ๙.  ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
      ๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
      ๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
     ๑๒. จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
         ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
      ๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
     ๑๔.คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
     
 แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
      ๑.     อย่าลืมโทรฯ หาครอบครัวบ่อย ๆ
      ๒.    จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
      ๓.     จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
      ๔.     จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
      ๕.     พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
      ๖.      คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย
      ๗.     งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

  และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้ ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

       ๑.   ทำสิ่งที่ควรทำ
       ๒.   อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่สวย ไม่น่ารื่นรมย์ จงทิ้งไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
       ๓.   เวลาและพระผู้เป็นเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
       ๔.  ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
       ๕.  ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน จงลุกจากเตียง แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
       ๖.   สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
      ๗.   ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้ อย่าลืมขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า  หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
      ๘.  เชื่อเถอะว่าส่วนลึกๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

   และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด  ส่งบทความนี้ต่อไปให้คนที่คุณรักและห่วงหาอาทรด้วย

............................

3 ความคิดเห็น:

  1. ถูกต้องเลย บทความนี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้างนะคะ ขอขอบคุณคุณสุทธิชัย หยุ่น ทีเผยแพร่สิ่งดีๆ และข้อควรปฏิบัติให้พวกเราทราบ ขอเสริมว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ต้องปล่อยวางและปลงให้ได้ อย่าเศร้าโศกเสียใจจนทำให้เราเสียสุขภาพกายใจ เกิดมาเพื่อสั่งสมบุญบารมี มีเรื่องที่ทำให้เราเสียใจบ้างก็ให้คิดว่าเราใช้หนี้เศษกรรมที่ทำมากับคู่เวรคู่กรรม แล้วสวดมนตร์ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป เผื่อว่าเขาจะอโหสิกรรมให้เรา จะได้ไม่ต้องจองเวรจองกรรมกันต่อไป มาสร้างบุญบารมี(คุณความดี)กันนะคะ

    ตอบลบ
  2. อาจารย์ยังอยู่ดี เคยสอนวิชาภาษาไทยตอนเรียน ป.ว.ช. จบเมื่อปี 2531 ชื่อนายกิตติ เจียมธโนปจัย แผนกช่างเชื่อม
    http://www.vcharkarn.com/my/53541/cafe

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. จำได้ ตอนนี้บวชอยู่หรือ มีเฟซบุคไหม add มาคุยกันนะ Mayuree Kongduang

      ลบ